วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฉันไม่ชอบตื่นมาแล้วได้ยินเสียงคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ
ฉันไม่ชอบตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับราวตากผ้าของห้องฝั่งตรงข้าม
ฉันไม่ชอบการรีบเร่งไปเพื่อให้ทันเวลา
ฉันไม่ชอบการเบียดเสียดยัดเยียดกันขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน
ฉันไม่ชอบคนพลุกพล่าน
ฉันไม่ชอบคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วไม่มีรอยยิ้มให้กัน
ฉันไม่ชอบกลิ่นท่อไอเสีย
ฉันไม่ชอบการนั่งมอเตอร์ไซค์ในเมือง
ฉันไม่ชอบข้าวแกงจานละ 30 บาท มันแพงไป
ฉันไม่ชอบการนั่งจ่อมอยู่ในอพาร์ทเม้นต์คนเดียว
ฉันไม่ชอบรถติด

ฉันไม่ชอบกรุงเทพฯ

ฉันคิดถึงเชียงใหม่



วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมุดโน้ต

ฉันเป็นคนหนึ่งที่พกสมุดโน้ตไว้จดงาน เป็นสมุดโน้ตปกโฟมสีเขียวสดที่ซื้อมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งในงานเปิดท้ายขายของ ขนาดก็นับว่าใหญ่พอตัว เสียแต่ว่าบางไปหน่อยแค่นั้นเอง ส่วนใหญ่สิ่งที่ฉันจดลงไปจะเป็นรายการที่ต้องทำในวันต่อไป เมนูอาหาร วัตถุดิบแปลกๆ เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งรูปวาดปัญญาอ่อนที่ฉันวาดเวลาไม่มีอะไรทำหรือเบื่อๆในห้องประชุม ซึ่งต้องขอพูดว่าฉันไม่มีหัวทางด้านศิลปะเอาเสียเลย ถ้าใครเคยเห็นรูปวาดของ Napoleon Dynamite แล้ว ฉันบอกได้เลยว่ารูปวาดของฉันก็ดูงี่เง่าปัญญาอ่อนไม่แพ้กัน

ฉันเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่นับว่าช่างสังเกตุอยู่ แต่ส่วนใหญ่ฉันจะชอบสังเกตุคนรอบข้างจากสมุดโน้ต (ในกรณีที่เขามี) ในนั้นจะมีอะไรหลายๆอย่าง เอาเป็นว่าสำหรับบางคน แค่ฉันเห็นสมุดโน้ตก็สามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นคนยังไง ชุ่ยหรือไม่ชุ่ย เป็นคนมีระเบียบหรือไม่ ชอบอยู่ในกรอบหรือชอบเป็นอิสระ

เริ่มจากเส้นบรรทัด ฉันชอบสมุดจดที่ไม่มีเส้น เพราะฉันไม่ชอบให้อะไรมาตีกรอบการขีดเขียนของฉัน มันเลยทำให้สิ่งที่ฉันจดมันออกจะชุ่ยไม่เป็นระเบียบ จดตรงนู้นทีตรงนั้นทีสะเปะสะปะไปเรื่อย จู่ๆก็มีรูปองคชาติที่วาดตอนเบื่อๆโผล่มาในหน้าที่โน้ตงานสำคัญๆ ทำให้บางครั้งฉันจะพูดอะไรไม่ออกเวลาที่คนอื่นแอบหยิบสมุดโน้ตที่ฉันเขียนไว้มาสำรวจ ได้แต่ยิ้มยอมรับว่าเป็นคนบ้ากามหมกมุ่นคนหนึ่ง แล้วก็รีบเดินหนีออกมา

ถ้าให้เดานิสัยตัวเองจากสมุดโน้ตที่จดไว้เกือบทุกวี่ทุกวัน ฉันฟันธงได้เลยว่าฉันเป็นคนชุ่ยมาก สกปรก ไม่เป็นระเบียบ เพ้อฝัน จับจด ไม่นิ่ง (นี่ยังไม่รวมถึงสภาพห้องพักที่รกพอๆกับสมุดโน้ต)

วันนี้ที่โรงเรียน ฉันแอบเห็นสมุดโน้ตเล็กๆที่ผู้ช่วยวัย 40 ยังสาวที่ชื่อพี่อรได้จดอะไรต่อมิอะไรไว้เต็มไปหมด ด้วยสันดานอยากรู้อยากเห็น ฉันเลยแอบชำเลืองไปมองตอนที่เขากำลังจดอะไรสักอย่างยุกยิกลงไปในสมุดโน้ตปกรูปทะเลที่เขาพกติดตัวเกือบตลอดเวลา

สิ่งที่ฉันเห็นคือวันที่ที่หวยออก และเลขหวยที่ออกในแต่ละงวด ซึ่งจากการคะเนคร่าวๆแล้ว น่าจะไม่ต่ำกว่า 30 งวด พี่อรลงตัวเลขหวยงวดล่าสุดอย่างขะมักเขม้นราวกับว่ามันเป็นวิชาหนึ่งที่เธอจะต้องตั้งใจกับมันให้ถึงที่สุด

อีกอย่าง ความเรียบร้อยของการจดโน้ต รวมไปถึงลายมือของพี่อรนั้น มันสื่อถึงกันกับที่เวลาฉันสั่งให้พี่อรเตรียมวัตถุดิบเตรียมอาหารไว้สอนนักเรียน พี่อรเตรียมของได้เรียบร้อยมาก และอีกอย่างหนึ่งที่สื่อถึงกันระหว่างนิสัยกับการจดนั้น คือการที่พี่อรเพิ่งจะมาลงเลขหวยที่ออกเอาในวันที่ 20 ซึ่งก็เหมือนกับหลายๆครั้งที่พี่อรลืมใส่วัตถุดิบบางอย่างไว้ในถาดเตรียมของนักเรียน อย่างวันนี้พี่อรก็ลืมใส่ตะไคร้ให้นักเรียน ทำให้ฉันต้องเอ็ดแกอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องความเรียบร้อยนั้นไม่ต้องพูดถึง แกมีเต็มร้อย

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่อรจะจดเลขหวยพวกนี้ไปทำไม เห็นแกเพิ่งยื่นใบลาออกปลายเดือนนี้ ก็สงสัยว่าจะไปเอาดีทางด้านใบ้หวยอยู่เหมือนกัน

สิ่งที่ฉันกำลังจะพยายามสื่อถึงก็คือ การจดโน้ตนั้นบอกได้ถึงลักษณะนิสัย บุคลิกความเป็นตัวตนของเจ้าของสมุดเล่มนั้นได้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งคนเรามักจะถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นตัวเองลงไปอย่างที่เจ้าตัวเองนั้นก็ยังไม่รู้ตัว

คนเราก็เหมือนหนังสือ หนังสือก็เริ่มมาจากสมุดนี่แหละ จดมันเข้าไป บันทึกมันเข้าไปเรื่อยๆ มันก็หนาเป็นหนังสือได้ กว่าจะอ่านคนหนึ่งคนให้ออกได้มันก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ จะหนาจะบาง มันก็ขึ้นอยู่กับการที่คนคนนั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอะไรมามากมายขนาดไหน

แต่ถ้าเราบันทึกทุกอย่างลงไปในสมุด แล้ววันหนึ่งเราอยากจะลืม ถ้าเป็นสมุด เราก็แค่ฉีกมันออก แต่คนเรานั้น จริงๆแล้วมันทำแบบนั้นไม่ได้ แม้ว่าฉันอยากจะทำแบบนั้นได้มากแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ทำได้ก็แค่พยายามเปิดข้ามหน้าที่ฉันไม่ต้องการจะจำ เปิดผ่านๆข้ามๆมันไป

แม้ว่าหลายๆครั้ง ฉันก็จะกลับมาอ่านหน้าที่ไม่อยากจะจดจำก็ตาม

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Top 5 Break Up Songs

หลังจากเพ่งพินิจพิจราณาอยู่นานว่าจะดูดีมั้ย ไอ้ High Fidelity เนี่ย เพราะฉันเองก็กลัวว่าจะดูแล้วเกิดอาการทางประสาทแบบอ่อนๆ เพราะอย่างน้อยก็เคยดูมันแล้ว และแอบนำมาคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะ Rob (John Cusack) ในหนังก็นับว่าเหี้ยและเพี้ยนพอตัว ซึ่งถ้าให้พูดตรงๆแบบไม่หลงตัว ฉันก็เหี้ยและเพี้ยนพอตัวอยู่เหมือนกัน แต่มันจะเป็นการเปรี้ยวไปนิดหากจะยกตนไปเทียบเท่าปรมาจารย์ Rob ในหนัง ที่เล่าเรื่องทุกอย่างกับกล้องได้อร่อยเหาะขนาดนั้น

และหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ก็ไม่อยากทำ Top 5 Break ups อีกนั่นแหละ เพราะเรื่องบางเรื่อง ความหลัง หรือแม้กระทั่งความทรงจำบางอย่าง ที่มีให้แก่บรรดาสตรีที่ทิ้งฉันเหมือนหมูเหมือนหมาเหล่านั้น บางอย่างมันก็นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นความลับ หรือมันเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับฉันกับเขา(ทั้งหลาย)ในช่วงเวลานั้นๆจนไม่อยากจะให้ใครมารับรู้ 

ฉะนั้น ก็เลยคิดว่าจะทำ Top 5 Song List ที่ฟังแล้วฉันจะทุรนทุราย อยู่ไม่สุข จิตตก ประสาทแกว่ง มือสั่น เหงื่อออก ปากแห้ง นิ่งเงียบ เพราะมีความหลังฝังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง กับคน(หลายๆคน)หนึ่ง ถึงแม้ว่าฉันเป็นผู้ชายเฮงซวยปากหมาที่ด่าคนรักเก่าอยู่บ่อยครั้งก็เถอะ เรื่องบางเรื่อง ฉันก็ถือเป็นความทรงจำดีๆที่ไม่อยากแบ่งให้ใคร

เคยไหม เพลงบางเพลง อาหารบางอย่าง ที่บางที่ มันเป็นของคนคนนั้นคนเดียว เมื่อใดที่เรานึกถึงมัน บางครั้งมันจะทำให้เราแอบยิ้ม หรืออาจจะทำให้จิตตก หรือแม้อาจทำให้น้ำตาซึมได้เลยทันที และสิ่งเหล่านี้ มันเป็นแค่ของคนคนเดียวจริง มันจะไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นกับคนอื่นได้เลย

ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันนึกถึงนางสาว ห. ฉันจะนึกถึงเชียงใหม่ นึกถึงแมว นึกถึงหอป้าศรีหลัง มช. นึกถึง Taku Boutique Restaurant นึกถึงวัดพระสิงห์ นึกถึงขาหมูช้างเผือก นึกถึงการขับรถเล่นอย่างไร้จุดหมายในเมืองเชียงใหม่ นึกถึงดอยสุเทพ นึกถึงคณะวิจิตรศิลป มช. นึกถึงแกงเขียวหวานไก่ทอดใน มช. ทั้งหมดนี่จะเกิดขึ้นเมื่อฉันนึกถึงเขา หรือเมื่อใดก็ตามที่ฉันนึกถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันก็จะพาลทำให้ฉันนึกถึงนางสาว ห. ไปด้วย และจะไม่มีทางไปนึกถึงคนอื่นได้เลย เพราะอย่างที่ฉันบอก สิ่งเหล่านี้มันเป็นของของเขาคนเดียว ฉันไม่มีความทรงจำอะไรอย่างอื่นนอกจากกับเขา มันอาจจะเป็นเรื่องที่เพี้ยนสำหรับคนบางคน แต่เชื่อเถอะ ฉันว่ามันก็มีคนไม่น้อยที่เป็นแบบฉัน

อารัมภบทเสียยืดยาว เริ่มจากอันดับ 5 ก่อนเลยแล้วกัน 


                                                                   Bush -Swallowed


Swallowed
Followed
Heavy about everything but my love

บางครั้งที่ฉันตื่นขึ้นมา แสงแดดทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาแยงตาจนต้องหยีตา ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของทุกๆวันในชีวิต เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ฉันยังไม่มีสติดีนัก ฉันไม่คิดถึงอะไรเลยนอกจากไอ้แสงแดดที่มันส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาแยงตา แต่พอเริ่มได้สติ สิ่งที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อวาน วานซืน อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว มันก็เริ่มย้อนกลับเข้ามาในสมองให้คิดถึงมันอีกครั้งกับการเริ่มต้นของวันใหม่ในทุกๆวัน มันไม่มีสิ่งอันใดน่าอภิรมย์เลยสักอย่าง มันมีแต่ความเศร้า หม่น เทา อึมครึม แม้แสงข้างนอกมันจะสว่างจ้าก็เถอะ มันมัวแต่พะวงกับคนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ เราเคยไปเอาผ้ามาบังช่องที่แสงมันส่องเข้ามาเพราะกลัวเขาจะตื่น ซึ่งเป็นคนคนเดียวกับที่ฉันยอมสูญเสียอัตลักษณ์ความเป็นตัวเองไปเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตมีส่วนร่วมกับเขาได้ และจู่ๆเขาก็หายไป ไปปาย ฉันจำได้แค่นี้แหละ


อันดับ 4 


Aerosmith - Cryin'


I was cryin' when I met you
Now I'm tryin' to forget you
Your love is sweet misery

คนบางจำพวกมักจะจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ สิ่งเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ฉันก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้นที่ยังจมปลักอยู่กับเรื่องเก่าๆ ความทรงจำเดิมๆ และมันก็วกกลับมาทำให้ตัวเองประสาทเสีย ประสาทเสียถึงขนาดที่ทำอะไรไม่ถูก นั่งง่อยแกะเล็บตีนพร้อมกับสูบบุหรี่ไปในเวลาเดียวกัน ร้อนรุ่ม - เป็นคำที่สามารถใช้กับห้วงขณะจิตในตอนนั้น 


อันดับ 3

Al Green - How Can You Mend A Broken Heart


And how can you mend a broken heart? 
How can you stop the rain from falling down? 
How can you stop the sun from shining? 
What makes the world go round? 
How can you mend a this broken man? 
How can a loser ever win? 
Please help me mend my broken heart and let me live again.

มันเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่โดนทารุณกรรมทางจิตใจขั้นสาหัส ถ้าจะเปรียบกับทางกายก็น่าจะเปรียบได้กับชายวัยกลางคนที่ผ่านสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แล้วมารบต่อสงครามอ่าวอีกรอบ ฉันเลือก Al Green version แทน Bee Gees เพราะอย่างที่บอกว่าฉันเป็นพวกที่ชอบจะจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต และหากฟัง Bee Gees ร้อง ฉันรับรองได้เลยว่า ความเศร้า ความหดหู่ ความอาทรโหยหา ความเสียใจ ไม่มีทางสู้ในแบบที่ Al Green ร้องได้เลย ฉันจำได้ว่าตอนที่โดนนางสาว ป. สลัดรักใหม่ๆ ฉันขับรถวนอยู่ในสมุทรปราการอย่างไม่มีจุดหมายโดยมีเบียร์ลีโอ 4 กระป๋องและเพลงนี้เป็นเพื่อนร่วมทาง สลดมาก หดหู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บีบคั้น บีบจนต้องร้องไห้ ร้องไห้ยังไง เหมือนเด็กที่โดนแย่งของเล่นไป ขนาดนั้นเลยจริงๆ มันเหมือนการพิธีกรรมบ้าบอคอแตกอะไรสักอย่างที่ฉันต้องทำ ฉันต้องร้องไห้จนหมดไส้หมดพุง ก่อนที่จะเลิกหมกมุ่นกับคนคนนั้น แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่ผัสสะฉันไวต่อสิ่งที่มากระทบมากถึงมากที่สุด พอเลิกคิดได้ไม่นาน อีกแปปเดียวก็มานั่งง่อยประสาทแดกแทะเล็บตีนอยู่อีกเหมือนเดิม 

อันดับ 2

Owen - One Of These Days



You know my Father
The bartender
He used to wear a suit to work before he hit the drink
The old man used to do a lot of things


ความรู้สึกมันต่างจากเพลงอื่นๆ มันสงบ มันเหมือนกับการนั่งคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยที่นั่งอยู่บนม่อนแจ่มในเชียงใหม่เงียบๆคนเดียวตอนสายๆในช่วงปลายเดือนธันวา ไม่ว่าฉันจะอยู่ในอารมณ์ไหน ไม่ว่าจะกำลังคึกคักหรือกำลังหงุดหงิด ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเพลงนี้ ฉันจะสงบลงแบบทันทีทันใดเยี่ยงการสับสวิทช์ไฟ แต่ในความสงบนั้น ลึกๆมันจะนึกถึงความลำบากที่ได้พบเจอ ความโหลยโท่ยของตัวเองที่อายุขนาดนี้แล้วยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาสักที ความเฮงซวยที่ตัวเองปัญญาอ่อนและเอาแต่ใจตัวเองเสียจนไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะคบหาด้วย ความขี้เกียจของตัวเองที่ทำให้แม่ต้องมาทนลำบากไปด้วย ความไม่เอาไหนของตัวเองที่ไร้ความอดทนทำงานไหนได้ไม่นาน และท้ายที่สุด พ่อ คือคนที่โผล่เข้ามาในห้วงคำนึงนั้น จากนั้นพอมาถึงท่อนเปียโนโซโล่ท้ายเพลง ร้องไห้เลยครับ ง่ายมาก ด้วยที่ตัวเพลงปูมาแบบนี้ มันค่อยๆบีบมาเรื่อยๆ และฉันคิดว่าไอ้ท่อนเปียโน โซโล่นี่แหละ ที่มันบีบให้ความคิดที่กำลังขมุกขมัวอยู่ในใจให้แตกออกมาจนเจิ่งนองไปทั่ว อาจเป็นเพราะ พ่อ ที่โผล่เข้ามาในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการย่อยข้อมูลของสมอง ฉันรู้ว่าพ่อลำบากขนาดไหน พ่อทำเพื่อฉันและแม่ขนาดไหน แม้กระทั่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พ่อจะสิ้นลม พ่อยังบอกกับฉันให้ไปขนแปะก้วยลงมาจากหลังรถ ทั้งๆที่ตัวเองนอนป่วยอยู่บนเตียงคนไข้และเพ้อจากฤทธิ์มอร์ฟีนที่หมอจ่ายทางสายน้ำเกลือเพื่อระงับอาการปวดของมะเร็ง เพลงนี้มันเลยทำให้ความคิดความทรงจำและความรู้สึกผิดที่ตัวฉันเองทำระยำตำบอนไว้สมัยเมื่อยังเด็กมาโถมเข้ากลางกระหม่อม จนทำให้นั่งร้องไห้เกือบทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ 


อันดับ 1 มหากาพย์แห่งความชอกช้ำ


The Cure - A Letter To Elise



Elise believe I never wanted this

I thought this time I'd keep all of my promises
I thought you were the girl I always dreamed about
But I let the dream go
And the promises broke
And the make-believe ran out


ฉันไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาอ่านมีความเข้าใจในภาษาต่างชาติอย่างภาษาอังกฤษดีแค่ไหน แต่เชื่อเถอะ ถ้าหากรู้ว่า Robert Smith เขียนเพลงนี้จากความน้อยเนื้อต่ำใจในคนรักที่ไม่เคยมองเห็นค่าอะไรในตัวเขาเลย รับรองว่าต้องเข้าใจถึงความรู้สึกของเพลงนี้ ด้วยภาษาง่ายๆที่ใช้ มันเป็นเหมือนกับการตกผลึกความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหลายในความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก ทั้งความน้อยใจ ความเสียใจ ความคาดหวังในตัวคนรักที่สุดท้ายก็ผิดหวัง ฉันยอมรับว่าฉันเองเป็นคนเฉยๆกับ The Cure แต่หลังจากที่ฟังเพลงนี้ครั้งแรกโดยที่วงเพื่อนสนิทอย่าง Love Me Butch นำมา cover เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ฉันรับรู้ถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่มีกับคนรักได้เร็วมากจากน้ำเสียงของ Syarul Reza ที่ร้องเพลงนี้ได้เศร้าเสียจนฉันต้องก้มหน้าไปแอบร้องไห้ ยังไม่นับท่อนโซโล่ที่บีบอารมณ์จนปลิ้นทะลักออกมาเละเทะไปหมด 

เพลงนี้เป็นเพลงที่พิเศษมากสำหรับฉันตรงที่มันใช้ได้กับผู้หญิงทุกคนที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ อย่างที่ได้เอ่ยไปตอนแรกว่าเพลงบางเพลง สถานที่บางที่ ของบางอย่าง มันมีความทรงจำกับแค่คนคนเดียว แยกกันไปในแต่ละเพลง แต่ละสถานที่ และของแต่ละอย่าง แต่เพลงนี้กลับไม่เข้าหมวดหมู่ไหนเลย มันใช้ได้ผู้หญิงทุกคนที่ทำให้ฉันรู้สึกน้อยใจที่เขาไม่เคยเห็นความสำคัญและสิ่งที่ฉันทำดีให้กับเขาเหล่านั้นไป ฉันร้องไห้นับไม่ถ้วนกับเพลงนี้ ทุกครั้งที่ฉันหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นก็จะเล่นเพลงนี้ก่อนเพลงอื่นเสมอ ถ้าฉันกำลังคบกับใครและคนคนนั้นกำลังทำให้ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันก็จะฟังเพลงนี้บ่อยกว่าปกติ 

มันคือการทรมานตัวเองที่ฉันชอบที่จะทำซ้ำแล้วซ้ำอีก


สุดยอดแห่งความน้อยใจแบบอภิมหาอมตะนิรันด์กาล


Bob Dylan - Don't Think Twice It's Alright



So it ain't no use in callin' out my name, gal
Like you never did before
And it ain't no use in callin' out my name, gal
I can't hear you anymore
I'm a-thinkin' and a-wond'rin', walkin' down the road,
I once loved a woman, a child I'm told
I give her my heart but she wanted my soul
But don't think twice, it's all right



Dylan แต่งเพลงนี้ให้กับแฟนสาวในตอนนั้นซึ่งก็คือ Suze Rotolo ที่ทิ้งเขาที่อยู่นิวยอร์คไปเรียนต่อที่อิตาลี โดยที่ตัว Dylan เองกล่าวว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงรักเศร้าๆ แต่มันเป็นเหมือนการประกาศว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจเดินออกจากความสัมพันธ์กับ Rotolo เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และเพลงนี้ก็เป็นเหมือนกับการพูดปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เขาทำมันดีแล้ว 

Dylan ระบายถึงความสัมพันธ์ของเขากับ Rotolo ในเพลงนี้อย่างละเอียดด้วยภาษาที่เด็กมัธยมต้นก็สามารถเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตัวเพลงนั้นเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจกับการถูกมองข้าม การถูกมองเป็นของตาย การถูกมองเป็นของเล่น เขาจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับ Rotolo ด้วยความที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของผู้ชาย ไม่ใช่ที่ตัวเองเป็นศิลปินระดับโลก โดยที่เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะยุติความสัมพันธ์นี้แม้ว่าตัวเขาเองรัก Rotolo มากกว่าใครที่เขาเคยรัก

ที่ฉันเพิ่มเพลงนี้เข้ามาใน list เป็นอันดับท้ายสุด ก็เพราะความสัมพันธ์ที่ฉันเพิ่งจะเดินออกมานั้น มันเป็นแบบเดียวกับในเพลงนี้ มันเป็นแบบเดียวกันเหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่าง Dylan และ Rotolo 

ฉันพอแล้วกับความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตแบบนี้





วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความทรงจำ

เธอทำให้ฉันไม่อยากไปหัวหินอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปดูหนังที่เดอะ มอลล์งามอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปนั่งกินกาแฟที่ Vivi อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปวังหลังอีก
เธอทำให้ฉันไม่ชอบย่านเมืองเก่าอีก
เธอทำให้ฉันไม่ชอบหอตัวเองที่ปากน้ำ
เธอทำให้ฉันมีอคติกับเด็กเพาะช่าง
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปหาวรัญญูที่ปาย
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปเดินเล่นแถวท่าเตียนและธรรมศาสตร์
เธอทำให้ฉันเกลียด Big C วงศ์สว่าง
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปบ้านไอ้ตูนอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปตลาดวัดไทรใหญ่เพื่อซื้อปลาดุกมาปล่อย
เธอทำให้ฉันเกลียดร้านส้มตำแถวบ้าน
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปอยุธยาอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปสวนอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปดูงานที่ V64 อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปบ้านพี่เป้อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปตลาดรถไฟอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปบ้านน้าที่เยาวราชอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปร้านหนังสือ Passport อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปคาร์แคร์ของวิมอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปเดินดูของที่พันทิพย์ งามวงศ์วานอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไป Makro แจ้งวัฒนะอีก

เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลง What Am I To You อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลง Maggie May อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลงลูกกรุงอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลง Dare4Distance อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลง Drivin Me Wild อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากฟังเพลง Que The Sun อีก

เธอทำให้ฉันไม่อยากกินสปาเก็ตตี้อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากกินเย็นตาโฟหน้าธนาคารไทยพาณิชอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากกินชาบูชิอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากกินไข่กระทะในซอยชินเขตอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากกินข้าวแถวท่าช้างอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากกินข้าวแถวท่าพระจันทร์อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปกินข้าวต้มฟ้ามุ่ยอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปกินเหล้าที่ Jazz Happens อีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปกินโจ๊กหน้าปากซอยบ้านวิมอีก
เธอทำให้ฉันไม่อยากไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านซากุระ เฮาส์อีก

เธอทำให้ฉันฟังเพลง Shed Your Love แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง On The Bus Mall แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง It's a Motherfucker แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง Your Hand In Mine แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง Fake Plastic Tree แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง High And Dry แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง Walking After You แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง Hallelujah แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง A Letter To Elise แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง A Movie Script Ending แล้วร้องไห้
เธอทำให้ฉันฟังเพลง Both Sides Now แล้วร้องไห้

ทั้งหมดนี้ ฉันเรียกมันว่า "ความทรงจำ"
ทุกที่ ทุกอย่าง มันมีความทรงจำของมัน
ความทรงจำที่มีเธออยู่ในนั้น

ฉันทนรับมันไม่ได้ที่จะต้องไปที่เหล่านั้น
แล้วต้องคิดถึงเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก

มันทนไม่ได้จริงๆ
ฉันเบื่อเหลือเกินกับการพันธนาการตัวเองไว้กับอดีตเหล่านี้






วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

And if you don't know. Now you know, nigga.

I broke up with my girlfriend two days ago. Now I'm trying to get back on track and live my life the way I love and the way it's supposed to be. 

I've worked for one of the major seasoning sauce company for almost 6 months. It was good until that bitch (AKA my ex-girlfriend) step up in my life 2 months ago and ruined my pathetic life.

I lost a translation job, which is good since that job was a pain in the ass. Means that my income was decreased 30%. Look at the bright side, I have more time for myself.

I've been asking myself what I really want and want to be. My plan is to quit this fucking job and open my small restaurant. Which step one (quitting the job) is done.


"Don't chase the paper, chase the dream".

It was said by Diddy while delivering advice to now deceased rapper, Notorious Big. 

When I was 16, I really wanted to be a rapper. 7 years later when I turned 24, I wanted to be heavy metal singer in a heavy metal band. 2 years later, I wanted to be a punk rock star. Now, that dream when I was 16 has come back all over again.

The fucked up thing is that I have to keep a 9-5 job as a back up for financing my ma and myself while I'm pursuing this dream. Or even selling some food down the corner of the street.

I must say I'm worried about making money to support myself and my ma. But I believe that I'm gonna make it through this.

Life is up and down. Pretty much like you're floating in the ocean. I believe that I'm gonna make it.









I have tried my best but it ain't enough for her. Fact is I'm never good enough for her.



I love her. I really do

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Too drunk to live

Since Paullie broke up with his GF,
I've been drunk with him almost everyday.

Well, it's not that bad.
I mean..we had fun.
We got shitfaced. We got shitbag wasted.

I crashed my car and drove her
while I was unconcious.

FUCKING DANGEROUS!

Don't do it kids. You're gonna end up dead.

Now, I have to get back to my work.
No more Leo beer, no more cocaine.

I just want to get my shit together!
Pay attention on what I'm doing.

Go to bed before midnight.
Eat good and healthy food.

That's what I ask for just right now.